คำว่า "learn" และ "study" ในภาษาอังกฤษนั้นแม้จะดูมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ โดยทั่วไปแล้ว "learn" หมายถึงการได้รับความรู้หรือทักษะใหม่ๆ อาจเป็นการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ผ่านประสบการณ์ การสังเกต หรือการลองผิดลองถูก ส่วน "study" หมายถึงการเรียนรู้แบบเป็นระบบ มีการวางแผน และมักเกี่ยวข้องกับการอ่านหนังสือ ทำการบ้าน หรือเตรียมตัวสอบ นั่นคือ "learn" เน้นกระบวนการรับรู้ ขณะที่ "study" เน้นกระบวนการศึกษาอย่างจริงจัง
ลองดูตัวอย่างประโยคเปรียบเทียบกันดูนะคะ:
Learn: I learned to ride a bike when I was five. (ฉันเรียนรู้ที่จะขี่จักรยานตอนอายุห้าขวบ) นี่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ไม่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นระบบ
Study: I studied hard for the English exam. (ฉันตั้งใจเรียนหนักมากเพื่อสอบภาษาอังกฤษ) นี่เป็นการเรียนรู้แบบมีเป้าหมาย มีการเตรียมตัวอย่างจริงจัง
Learn: I learned a new word today. (ฉันเรียนรู้คำศัพท์ใหม่วันนี้) การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ อาจเกิดขึ้นได้จากการอ่านหนังสือ การฟัง หรือการพูดคุย
Study: I studied the history of Thailand for my project. (ฉันศึกษาประวัติศาสตร์ไทยเพื่อทำโครงการ) การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ไทยเพื่อทำโครงการ เป็นการเรียนรู้แบบเป็นระบบ
Learn: He learned about the importance of saving money. (เขาเรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการออมเงิน) การเรียนรู้เรื่องการออมเงิน อาจมาจากการฟังคำแนะนำหรือประสบการณ์ตรง
Study: She studied economics at university. (เธอเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย) การเรียนเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย เป็นการศึกษาอย่างเป็นระบบและเข้มข้น
การเลือกใช้คำว่า "learn" หรือ "study" จึงขึ้นอยู่กับบริบท ลองสังเกตดูว่าการเรียนรู้นั้นเป็นแบบไม่เป็นทางการหรือเป็นทางการ เป็นการเรียนรู้แบบสุ่มๆ หรือมีเป้าหมายชัดเจน เมื่อเข้าใจความแตกต่างนี้แล้ว การใช้ภาษาอังกฤษของคุณจะแม่นยำมากขึ้นอย่างแน่นอน
Happy learning!